Monday, August 4, 2014

หน่วยที่ 4 การรับช่วงสิทธิ การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้และการเพิกถอน การฉ้อฉล

หน่วยที่  4  การรับช่วงสิทธิ การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้และการเพิกถอน การฉ้อฉล

1.    การรับช่วงสิทธิ เป็นผลพิเศษแห่งหนี้อย่างหนึ่ง และจะมีได้เฉพาะที่กฎหมายระบุไว้เท่านั้น ตามมาตรา 226 กฎหมายบัญญัติเรื่องการรับช่วงสิทธิไว้ 2 กรณี คือ การรับช่วงสิทธิซึ่งเรียกว่าช่วงบุคคล และการรับช่วงสิทธิที่กฎหมายเรียกว่าช่วงทรัพย์
2.    การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ เป็นวิธีการซึ่งกฎหมายกำหนดให้เจ้าหนี้สามารถควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อการที่เจ้าหนี้ จะได้บังคับชำระหนี้เอาจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อมิให้เป็นที่เสียหายแก่ตน รวมทั้งให้เจ้าหนี้ใช้วิธีการที่จะให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินที่บุคคลภายนอกต้องชำระแก่ลูกหนี้ด้วย
3.    การเพิกถอนการฉ้อฉล เป็นวิธีการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้อีกอย่างหนึ่งคือ มิให้ลูกหนี้จำหน่าย จ่าย โอนทรัพย์สินที่มีอยู่ไป ทำให้เจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับให้ใช้หนี้ได้เพียงพอจากทรัพย์สินที่ลูกหนี้มีเหลืออยู่

1.1  การรับช่วงสิทธิ
1.    บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง
2.    กรณีที่มีการรับช่วงสิทธินั้น มีได้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายเท่านั้น โดยกฎหมายได้บัญญัติไว้สามกรณี คือ ตามมาตรา 227 229 และ 230
3.    เมื่อเกิดการรับช่วงสิทธิขึ้น สิทธิทั้งหลายที่เจ้าหนี้เดิมมีอยู่ในมูลหนี้ตกมาเป็นของผู้รับช่วงสิทธิ แต่ผู้รับช่วงสิทธิที่รับช่วงมาให้เป็นที่เสื่อมเสีย
4.    ช่วงทรัพย์ ได้แก่ เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน
5.    กรณีช่วงทรัพย์นั้นมีได้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายเท่านั้น โดยกฎหมายบังคับไว้ 2 กรณี คือ ตามมาตรา 228 และ 231

มาตรา 226 บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิ ทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้น ได้ในนามของตนเอง
ช่วงทรัพย์ ได้แก่เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีก อันหนึ่งในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน
มาตรา 227 เมื่อเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็ม ตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว ท่านว่าลูกหนี้ย่อม เข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธิ นั้น ๆ ด้วยอำนาจกฎหมาย
มาตรา 228 ถ้าพฤติการณ์ซึ่งทำให้การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัย นั้นเป็นผลให้ลูกหนี้ได้มาซึ่งของแทนก็ดี หรือได้สิทธิเรียกร้องค่า สินไหมทดแทนเพื่อทรัพย์อันจะพึงได้แก่ตนนั้นก็ดี ท่านว่าเจ้าหนี้จะ เรียกให้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้ หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหม ทดแทนเสียเองก็ได้
ถ้าเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพราะการไม่ชำระหนี้ และถ้าใช้สิทธินั้นดังได้ระบุไว้ในวรรคต้นไซร้ ค่าสินไหมทดแทนอัน จะพึงใช้แก่เจ้าหนี้นั้นย่อมลดจำนวนลงเพียงเสมอราคาแห่งของแทน ซึ่งลูกหนี้ได้รับไว้ หรือเสมอจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ลูกหนี้ จะเรียกร้องได้นั้น
มาตรา 229 การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย และ ย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) บุคคลซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่เอง และมาใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้อีก คนหนึ่งผู้มีสิทธิจะได้รับใช้หนี้ก่อนตน เพราะเขามีบุริมสิทธิ หรือมี สิทธิจำนำ จำนอง
(2) บุคคลผู้ได้ไปซึ่งอสังหาริมทรัพย์ใด และเอาเงินราคาค่าชื้อ ใช้ให้แก่ผู้รับจำนองทรัพย์นั้นเสร็จไป
(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้อง ใช้หนี้ มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น และเข้าใช้หนี้นั้น
มาตรา 230 ถ้าในการที่เจ้าหนี้นำบังคับยึดทรัพย์อันหนึ่งอันใด ของลูกหนี้นั้น บุคคลผู้ใดจะต้องเสี่ยงภัยเสียสิทธิในทรัพย์อันนั้นเพราะ การบังคับยึดทรัพย์ไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้นั้นมีสิทธิจะเข้าใช้หนี้เสียแทน ได้ อนึ่ง ผู้ครองทรัพย์อันหนึ่งอันใด ถ้าจะต้องเสี่ยงภัยเสียสิทธิ ครองทรัพย์นั้นไปเพราะการบังคับยึดทรัพย์ ก็ย่อมมีสิทธิจะทำได้ เช่นเดียวกับที่ว่ามานั้น
ถ้าบุคคลภายนอกผู้ใดมาใช้หนี้แทน จนเป็นที่พอใจของเจ้าหนี้ แล้วบุคคลผู้นั้นย่อมเข้ารับช่วงสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ แต่สิทธิ เรียกร้องอันนี้จะบังคับให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่เจ้าหนี้หาได้ไม่
มาตรา 231 ถ้าทรัพย์สินที่จำนอง จำนำ หรืออยู่ในบังคับบุริมะ สิทธิประการอื่นนั้น เป็นทรัพย์อันได้เอาประกันภัยไว้ไซร้ท่านว่าสิทธิ จำนอง จำนำหรือบุริมสิทธิอย่างอื่นนั้น ย่อมครอบไปถึงสิทธิที่จะเรียก ร้องเอาแก่ผู้รับประกันภัยด้วย
ในกรณีที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ถ้าผู้รับประกันภัยได้รู้ หรือควร จะได้รู้ว่ามีจำนองหรือบุริมะสิทธิอย่างอื่นไซร้ ท่านยังมิให้ผู้รับประ กันภัยใช้เงินให้แก่ผู้เอาประกันภัย จนกว่าจะได้บอกกล่าวเจตนา เช่นนั้นไปยังผู้รับจำนอง หรือเจ้าหนี้มีบุริมะสิทธิคนอื่นแล้ว และมิได้ รับคำคัดค้านการที่จะใช้เงินนั้นมาภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันบอกกล่าว แต่สิทธิอย่างใด ๆ ที่ได้ไปจดทะเบียน ณ หอทะเบียนที่ดินนั้น ท่านให้ถือว่าเป็นอันรู้ถึงผู้รับประกันภัย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้ตลอด ถึงการจำนองสังหาริมทรัพย์ ที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้นั้นด้วย
ในกรณีที่เป็นสังหาริมทรัพย์ผู้รับประกันภัยจะใช้เงินให้แก่ผู้เอา ประกันภัยโดยตรงก็ได้ เว้นแต่ตนจะได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าทรัพย์ นั้นตกอยู่ในบังคับจำนำ หรือบุริมะสิทธิอย่างอื่น
ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ถ้าทรัพย์สินอันได้เอา ประกันภัยไว้นั้นได้คืนมา หรือได้จัดของแทนให้วิธีเดียวกันนี้ท่านให้อนุโลมบังคับแก่กรณีบังคับซื้อ กับทั้งกรณี ที่ต้องใช้ค่าเสียหายอันควรจะได้แก่เจ้าของทรัพย์สิน เพราะเหตุ ทรัพย์สินทำลายหรือบุบสลายนั้นด้วย
มาตรา 232 ถ้าตามความใน มาตรา ก่อนนี้เป็นอันว่าจะเอาเงินจำนวนหนึ่งให้แทนทรัพย์สินที่ทำลายหรือบุบสลายไซร้ เงินจำนวน นี้ท่านยังมิให้ส่งมอบแก่ผู้รับจำนอง ผู้รับจำนำ หรือเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิ คนอื่นก่อนที่หนี้ซึ่งได้เอาทรัพย์นี้เป็นประกันไว้นั้นจะถึงกำหนด และ ถ้าคู่กรณีไม่สามารถจะตกลงกับลูกหนี้ได้ไซร้ ท่านว่าต่างฝ่ายต่าง มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้นำเงินจำนวนนั้นไปวางไว้ ณ สำนักงานวาง ทรัพย์เพื่อประโยชน์อันร่วมกัน เว้นแต่ลูกหนี้จะหาประกันให้ไว้ ตามสมควร

1.1.1      การรับช่วงสิทธิ (รับช่วงบุคคล)
การรับช่วงสิทธิ เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายประการเดียวเสมอไปหรือไม่ และจะมีการรับช่วงสิทธิได้ในกรณีใดบ้าง
การรับช่วงสิทธิเกิดโดยผลของกฎหมายเสมอไป ไม่อาจเกิดจากข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างคู่กรณีได้ การรับช่วงสิทธิจะมีได้ กรณีตามมาตรา 228 และ 231

1.1.2      การรับช่วงทรัพย์
ช่วงทรัพย์ เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายประการเดียวเสมอไปหรือไม่ และจะมีได้ในกรณีใดบ้าง
ช่วงทรัพย์เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายเสมอไป ไม่อาจเกิดจากข้อตกลงหรือสัญญาระหว่างคู่กรณีได้ กรณีตามมาตรา 227 229 และ 230

1.2  การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้
1.    ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้
2.    วิธีการใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้นั้น คือ เจ้าหนี้ผู้ใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้นั้นจะต้องขอหมายเรียกลูกหนี้มาในคดีนั้นด้วย
3.    ผลของการใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ก็คือ หากมีการได้รับทรัพย์สินมาตามคำพิพากษาทรัพย์สินนั้นก็ตกเป็นของลูกหนี้เดิม

1.2.1      หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้
อธิบายหลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้
หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ อธิบายได้โดยใช้หลักตามมาตรา 233 และ234
การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้
มาตรา 233 ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉย เสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่าน ว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเอง แทนลูกหนี้เพื่อ ป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของ ลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้
มาตรา 234 เจ้าหนี้ผู้ใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้นั้นจะต้องขอ หมายเรียกลูกหนี้มาในคดีนั้นด้วย
มาตรา 235 เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เรียกเงินเต็ม จำนวนที่ยังค้างชำระแก่ลูกหนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนที่ค้างชำระ แก่ตนก็ได้ ถ้าจำเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำนวนที่ลูกหนี้เดิมค้าง ชำระแก่เจ้าหนี้นั้นคดีก็เป็นเสร็จกันไป แต่ถ้าลูกหนี้เดิมได้เข้าชื่อเป็น โจทก์ด้วย ลูกหนี้เดิมจะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วน จำนวนเงินที่ยังเหลือติดค้างอยู่ก็ได้
แต่อย่างไรก็ดี ท่านมิให้เจ้าหนี้ได้รับมากไปกว่าจำนวนที่ค้างชำระ แก่ตนนั้นเลย
มาตรา 236 จำเลยมีข้อต่อสู้ลูกหนี้เดิมอยู่อย่างใด ๆ ท่านว่าจะ ยกขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ทั้งนั้น เว้นแต่ข้อต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยื่นฟ้องแล้ว

1.2.2      วิธีการและผลของการใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้
ข. เป็นหนี้กู้ยืม ก. อยู่ 500,000 บาท ก. ฟ้องเรียกเงินกู้ดังกล่าวต่อศาลแพ่ง ศาลพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องของ ก. ให้ ก. แพ้คดี ก. อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากยืน ก. ไม่มีทรัพย์สินอื่นนอกจากเงินกู้จำนวนนี้ และไม่ประสงค์จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เพราะเห็นว่าแพ้คดีมาแล้วถึง 2 ศาลแล้ว ค. จึงเป็นเจ้าหนี้ ก. ค้างจ้างทำของ เป็นเงิน 400,000 บาท จะใช้สิทธิของ ก. เพื่อฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในนามของตนเองแทน ก. ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ค. สามารถฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ เพราะเป็นกรณีที่ ก. เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้ ค. เจ้าหนี้เสียประโยชน์ ค. ฎีกาฯ เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้ที่ตนเป็นหนี้อยู่ และการฎีกาหาใช่เป็นการที่ ก. ลูกหนี้จักต้องกระทำเป็นการส่วนตัวโดยแท้

1.3  การเพิกถอนการฉ้อฉล
1.    เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้ บังคับถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อเท็จจริง อันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำโดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวนั้นก็พอแล้วที่จะเพิกถอนได้ แต่กรณีดังกล่าวมานี้มิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน
2.    ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉลนั้นย่อมได้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้หมดทุกคน แต่การเพิกถอนไม่กระทบกระทั่งสิทธิของบุคคลภายนอกอันใดโดยสุจริตก่อนเริ่มคดีขอเพิกถอน

1.3.1      หลักเกณฑ์การเพิกถอนการฉ้อฉล
1)  การเพิกถอนการฉ้อฉลมีหลักเกณฑ์และวิธีการอย่างไรบ้าง
การเพิกถอนการฉ้อฉลให้ใช้หลักตามมาตรา 237
เพิกถอนการฉ้อฉล
มาตรา 237 เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ ซึ่ง นิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึง ข้อความจริง อันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หาก กรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หาท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียว เท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมีให้ใช้บังคับแก่นิติกรรม ใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน
มาตรา 238 การเพิกถอนดังกล่าวมาในบท มาตรา ก่อนนั้น ไม่อาจ กระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอก อันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่ม ฟ้องคดีขอเพิกถอนอนึ่ง ความที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าสิทธินั้น ได้มาโดยเสน่หา
มาตรา 239 การเพิกถอนนั้นย่อมได้เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้หมด ทุกคน
มาตรา 240 การเรียกร้องขอเพิกถอนนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องร้อง เมื่อพ้นปีหนึ่ง นับแต่เวลาที่เจ้าหนี้ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน หรือพ้นสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น

2)  วันที่ 1 มกราคม 2524 ก. ทำสัญญากู้เงิน 100,000 บาท โดยกำหนดเงื่อนไขไว้ในสัญญากู้มีผลใช้บังคับเมื่อ ค. บุตรชายของ ก. เดินทางไปต่างประเทศแล้ว ค. ออกเดินทางไปสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2525
ก. มีทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวคือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ก. ไม่ประสงค์จะให้ ข. ได้รับชำระหนี้ตามที่ตนกู้ยืมมา จึงโอนขายให้ ง.  เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2525 เพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ ดังนี้ ข. จะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ทำขึ้นระหว่าง ก. กับ ง.ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ข. จะฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ทำขึ้นระหว่าง ก. กับ ง. ไม่ได้ เพราะสัญญากู้ระหว่าง ก. และ ข. เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน มีผลใช้บังคับหลังการซื้อขายระหว่าง ก. และ ง.  และในขณะที่ ก. ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ ง. นั้น ข. ยังไม่เป็นเจ้าหนี้ ก. โดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย

1.3.2      วิธีการและผลของการเพิกถอนการฉ้อฉล
เมื่อเจ้าหนี้ฟ้องให้เพิกถอนการฉ้อฉลและ จะมีผลต่อบุคคลภายนอกหรือไม่เพียงใด
1.    ไม่กระทบสิทธิของบุคคลภายนอกอันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีให้เพิกถอน เว้นแต่สิทธินั้นจะได้มาโดยเสน่หาตามมาตรา 238
2.    การเพิกถอนย่อมเป็นประโยชน์แก่บรรดาเจ้าหนี้ทุกคนตามมาตรา 235
มาตรา 235 เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เรียกเงินเต็ม จำนวนที่ยังค้างชำระแก่ลูกหนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนที่ค้างชำระ แก่ตนก็ได้ ถ้าจำเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำนวนที่ลูกหนี้เดิมค้าง ชำระแก่เจ้าหนี้นั้นคดีก็เป็นเสร็จกันไป แต่ถ้าลูกหนี้เดิมได้เข้าชื่อเป็น โจทก์ด้วย ลูกหนี้เดิมจะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วน จำนวนเงินที่ยังเหลือติดค้างอยู่ก็ได้
แต่อย่างไรก็ดี ท่านมิให้เจ้าหนี้ได้รับมากไปกว่าจำนวนที่ค้างชำระ แก่ตนนั้นเลย
มาตรา 238 การเพิกถอนดังกล่าวมาในบท มาตรา ก่อนนั้น ไม่อาจ กระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอก อันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่ม ฟ้องคดีขอเพิกถอน อนึ่ง ความที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าสิทธินั้น ได้มาโดยเสน่หา

แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 4

1.    การรับช่วงสิทธิเกิดขึ้นได้โดย บทบัญญัติของกฎหมาย
2.    ช่วงทรัพย์คือ การเอาทรัพย์สินอันหนึ่ง เข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่ง ในฐานะและนิตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน
3.    กรณีที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้ คือ (ก) เจ้าหนี้เสียประโยชน์ เพราะการที่ลูกหนี้ไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง (ข) ลูกหนี้ขัดขืน หรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องของตน (ค) สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ที่เจ้าหนี้จะเข้าใช้แทนได้ ต้องไม่ใช่สิทธิที่เป็นการส่วนตัวของลูกหนี้โดยแท้
4.    ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉล ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้หมดทุกคน
5.    วิธีการที่เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ คือ เจ้าหนี้สามารถฟ้องในนามของตนเอง และใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ เรียกเต็มจำนวนที่ค้างชำระแก่ลูกหนี้ โดยไม่ต้องคำนึงจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนก็ได้
6.    ผลของการรับช่วงสิทธิ คือ สิทธิทั้งหลายที่เจ้าหนี้เดิมมีอยู่ในมูลหนี้ ตกมาเป็นของผู้รับช่วงสิทธิ โดยอำนาจของกฎหมาย
7.    กรณีใดบ้างซึ่งเจ้าหนี้จะใช้วิธีการเพิกถอนการฉ้อฉลเสียก็ได้ คำตอบ นิติกรรมซึ่งลูกหนี้ทำขึ้นเพื่อปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ของตน
8.    การเพิกถอนการฉ้อฉลมีกำหนดอายุความดังนี้ (ก) ต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่เวลาที่บุคคลภายนอกได้รู้ถึงสาเหตุที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้เพิกถอนได้ แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น (ข) ต้องฟ้องภายใน 10 ปี นับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น
9. การรับช่วงสิทธิคือ การซึ่งบุคคลเข้าเป็นเจ้าหนี้แทนเจ้าหนี้เดิมโดยเข้ามาเป็นเจ้าหนี้คนใหม่หนี้เดิมยังคงมีอยู่
10. ช่วงทรัพย์เกิดขึ้นโดย บทบัญญัติของกฎหมาย

No comments:

Post a Comment