Thursday, August 7, 2014

หน่วยที่ 11 ความรับผิดเพื่อละเมิดในการกระทำของตนเอง

1.     ความรับผิดเพื่อละเมิดของบุคคลในการกระทำของตน ต้องมีการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ โดยผิดกฎหมายและมีความเสียหายแก่บุคคลอื่น และความเสียหายนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของผู้กระทำความเสียหาย
2.   ผู้เยาว์และบุคคลวิกลจริตอาจกระทำละเมิดและมีความรับผิดได้ ซึ่งแล้วแต่ข้อเท็จจริงเป็นกรณีไป
3.  การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริงและการร่วมกันกระทำละเมิดก็เป็นความรับผิดของบุคคลในการกระทำของตนเอง

11.1    ลักษณะทั่วไปของความรับผิดของบุคคลในการกระทำของตนเอง
1.  การกระทำหมายถึงความเคลื่อนไหวของบุคคลโดยรู้สึกในความเคลื่อนไหวของตน และหมายถึงการงดเว้นหรือละเว้นไม่กระทำการตามหน้าที่ที่ต้องกระทำ
2.  จงใจ หมายถึงการกระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตน
3.  ประมาทเลินเล่อ หมายถึงไม่จงใจ แต่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามควรที่จะใช้รวมถึงในลักษณะที่บุคคลผู้มีความระมัดระวังจะไม่กระทำด้วย
4.  การกระทำโดยผิดกฎหมายมีความหมายกว้าง มิใช่หมายแต่เพียงฝ่าฝืนกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง แต่หมายรวมถึงการกระทำโดยไม่มีสิทธิหรือขอแก้ตัวตามกฎหมาย
5.  ความเสียหายแก่ผู้อื่น หมายถึงความเสียหายที่เกิดแก่สิทธิของบุคคลอื่น
6.  ความเสียหายอันเป็นผลมาจากการกระทำความเสียหายนั้น ตามกฎหมายไทยเห็นว่าควรใช้ทฤษฎีความเท่ากันแห่งเหตุ หรือทฤษฎีเงื่อนไขบังคับ แต่ศาลอาจให้จำเลยรับผิดทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วนหรือยกเว้นความผิดเสียเลยก็ได้

11.1.1   ความหมายของการกระทำ
ความเคลื่อนไหวของบุคคลในเวลาหลับ ถือว่าเป็นการกระทำหรือไม่
ความเคลื่อนไหวของบุคคลในเวลาหลับ ไม่ถือว่าเป็นการกระทำ เพราะแม้ว่าจะมีความเคลื่อนไหวในอิริยาบถ แต่ก็ถือไม่ได้ว่าบุคคลที่หลับรู้สำนึกในความเคลื่อนไหวในอิริยาบถของตน

ที่เรียกว่า การกระทำ นั้น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร
การกระทำหมายถึงความเคลื่อนไหวในอิริยาบถโดยรู้สำนึกในความเคลื่อนไหวนั้น

ความเคลื่อนไหวของผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริต จะถือว่าเป็นการกระทำได้เสมอไปหรือไม่
ความเคลื่อนไหวของผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริต จะถือว่าเป็นการกระทำไม่ได้เสมอไป ถ้าผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตรู้สำนึกในความเคลื่อนไหวในอิริยาบถของตน ก็เป็นการกระทำ ถ้าไม่รู้สำนึกก็ไม่เป็น ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงแต่ละเรื่องๆ ไป

การงดเว้นไม่กระทำ จะเป็นการกระทำเสมอไปหรือไม่
การงดเว้นไม่กระทำ ไม่เป็นการกระทำเสมอไป ที่จะถือว่าเป็นการกระทำต้องเป็นการงดเว้นไม่กระทำการที่มีหน้าที่ต้องกระทำ หน้าที่นี้อาจเกิดจากกฎหมายก็ได้ หรือเกิดจากสัญญาหรือความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงที่มีอยู่ระหว่างผู้งดเว้นกับผู้เสียหายก็ได้ หรือเป็นผลมาจากฐานะทางข้อเท็จจริงซึ่งผู้งดเว้นได้ก่อขึ้นก็ได้

ให้ยกตัวอย่างการงดเว้นไม่กระทำตามสัญญาอันมีผลเสียหายแก่บุคคลอื่น นอกจากตัวอย่างตามเอกสารการสอนนี้ มา 2 ตัวอย่าง

ยกตัวอย่างการงดเว้นไม่กระทำตามหน้าที่อันเกิดจากความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริง

11.1.2   การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
ความเข้าใจผิดในข้อเท็จจริง จะถือว่าเป็นจงใจได้หรือไม่ ก. เห็นร่มของ ข. วางไว้บนโต๊ะทำงานของตน คิดว่าเป็นร่มของตนที่หายไปแล้วและได้คืนมาแล้ว เพราะมีลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง จึงหยิบเอาไปเป็นของตน ดังนี้ ก. ได้กระทำต่อ ข. โดยจงใจหรือไม่
จงใจหมายถึงความรู้สำนึกว่าจะเกิดผลเสียหายแก่บุคคลอื่นจากการกระทำของตน ฉะนั้นความเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงจะถือว่าเป็นจงใจหาได้ไม่
ที่ ก. คิดว่าร่มของ ข. เป็นของตน จึงมีความเข้าใจผิดในข้อเท็จจริง ก. มิได้กระทำต่อ ข. โดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ

แมวของ จ. เข้ามาลักอาหารกินในครัว จ. เห็นเข้า จึงเอาไม้ไล่ตีบังเอิญไม้พลาดไปถูกศีรษะของ ส. เพื่อนบ้านของ จ. ที่มาหาและโผล่เข้ามาทางประตูครัวพอดี โดยที่ จ. ไม่ทันเห็น ดังนี้ จ. กระทำต่อ ส. โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่
ก. มิได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อข่อ ข. แต่เป็นความเสียหายที่เกิดแต่เหตุสุดวิสัย

11.1.3   การกระทำโดยผิดกฎหมาย
ที่ว่า โดยผิดกฎหมาย ตามมาตรา 420 นั้น เข้าใจว่าอย่างไร
คำว่า โดยผิดกฎหมาย ตามมาตรา 420 มีความหมายแต่เพียงว่า มิชอบด้วยกฎหมาย ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 421 เท่านั้น ถ้าได้กระทำโดยไม่มีสิทธิหรือข้อแก้ตัวตามกฎหมายให้ทำแล้ว ก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 421 การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย

ที่ว่า การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น นั้น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร
หมายถึงกรณีที่ผู้ทำความเสียหายมีสิทธิตามกฎหมายเสียก่อน มิใช่กระทำโดยไม่มีสิทธิหรือทำเกินไปกว่าสิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมายแล้ว ซึ่งต้องพิจารณากันตามมาตรา 420 อันเป็นหลักทั่วไป ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าสิทธินั้นมีอยู่แล้ว แต่การใช้หรือวิธีใช้นั้นดำเนินไม่ถูกต้อง ตามวิธีการที่เหมาะสมหรือผิดกาลเทศะ จึงเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น และต้องเป็นการกระทำที่มุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่นแต่ถ่ายเดียว ไม่ใช่โดยประสงค์ต่อผลอันเป็นธรรมดาแห่งการใช้สิทธิ

ที่ว่า ลำพังแต่เพียงบทบัญญัติมาตรา 421 จะเป็นหลักเกณฑ์อันก่อให้เกิดความรับผิดทางละเมิดไม่ได้ ท่านเข้าใจว่าอย่างไร
มาตรา 421 เป็นบทขยายของคำว่า โดยผิดกฎหมาย ในมาตรา 420 ฉะนั้น หลักเกณฑ์ประการอื่นที่จะก่อให้เกิดความรับผิดตามมาตรา 420 นั้นยังคงต้องพิจารณาให้ครบถ้วน กล่าวคือ ต้องมีการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้คนอื่นเสียหายอยู่ด้วย

การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดตามหน้าที่จะเป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ต้องหาเสมอไปหรือไม่
เกิดความเสียหายแก่ผู้ต้องหา ไม่เสมอไป ถ้าเป็นการจับตามหน้าที่ เว้นแต่เป็นการใช้สิทธิที่มุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้ถูกจับแต่ถ่ายเดียว หรือเป็นการจับที่ไม่ถูกต้องตามวิธีการที่เหมาะสมหรือผิดกาลเทศะ เช่น จับผู้ต้องหาว่ากระทำผิดโดยแกล้งไปจับขณะที่เข้าพิธีสมรสเป็นต้น

ก. เป็นหนี้เงินกู้ ข. อยู่จำนวน 10,000 บาท ขณะที่ ก. กำลังพูดคุยกับนางสาว ค. ซึ่งเป็นคู่รักกันอยู่ตามลำพัง ข. เห็นนึกหมั่นไส้ต้องการจะแกล้ง ก. ให้ขายหน้า จึงพูดทวงหนี้ต่อหน้านางสาว ค. ดังนี้ ท่านเห็นว่า ข. ใช้สิทธิมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่ ก. หรือไม่
ข. เป็นเจ้าหนี้เงินกู้ของ ก. จึงมีสิทธิทวงถามจาก ก. ได้ แต่การที่ไปทวงถามต่อหน้านางสาว ค. ย่อมเป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะให้ความเสียหายแก่ ก. ลูกหนี้ของตน

หลักที่ว่า ความยินยอมไม่ทำให้เป็นละเมิด มีบัญญัติไว้ในลักษณะละเมิดหรือไม่ เข้าใจหลักนี้กันอย่างไร
ไม่มีบัญญัติไว้ในลักษณะละเมิด เพียงแต่บัญญัติเป็นหลักเกณฑ์ที่จะถือว่าเป็นการกระทำละเมิดหรือความรับผิดเพื่อละเมิดเท่านั้น ที่ว่า ความยินยอมไม่ทำให้เป็นละเมิด นั้นเป็นหลักกฎหมายทั่วไป มีความหมายที่บุคคลซึ่งยอมต่อการกระทำอย่างหนึ่ง หรือบุคคลที่เข้าเสี่ยงภัยยอมรับความเสียหาย จะฟ้องคดีเกี่ยวกับการกระทำหรือความเสียนั้นมิได้ และความยินยอมทำให้ผู้กระทำความเสียหายไม่ต้องรับผิดสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น และถือว่าไม่มีการละเมิดเกิดขึ้นเลยทีเดียว

ก. ยอมให้ ข. ชกต่อยที่บริเวณใบหน้า เพื่อแสดงความแข็งแรงของ ก. ปรากฏว่าฟันของ ก. หักหลุดออกมา 1 ซี่ ก. จะเรียกค่าเสียหายจาก ข. อ้างว่าไม่รู้ว่าการให้  ข. ชก ฟันจะหลุดออกมา จะเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่
ก. ยอมให้ ข. ชกต่อยแล้ว เป็นความยินยอมของ ก. ก. จะอ้างว่าไม่รู้ว่าการให้ ข. ชกต่อย จะทำให้ฟันหักหลุดออกมาไม่ได้ การที่ ข. ชก ก. ไม่เป็นละเมิด

ค. ยอมให้ ง. ใช้ไม้เรียวเฆี่ยน 3 ที แต่ ง. หาไม้ไม่ได้ จึงเตะ ค. 3 ที ค. ได้รับบาดเจ็บดังนี้ ค. จะเรียกค่าเสียหายจาก ง. ได้หรือไม่
ค. ยอมให้ ง. เอาไม้เรียวเฆี่ยน จึงเป็นความยินยอมของ ค.  แต่ ง. กับเตะ ค. ซึ่ง ค. ไม่ได้ยินยอม จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อ ค. ค. ย่อมเรียกค่าเสียหายจาก ง. ได้

การกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายใดจนเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น จะสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้กระทำการฝ่าฝืนเป็นผู้กระทำผิดเสมอไปหรือไม่
จะสันนิษฐานว่าผู้กระทำการฝ่าฝืนกระทำผิด ไม่เสมอไป ที่ถือว่ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมายใดจนเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น จะสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้กระทำการฝ่าฝืนเป็นผู้ผิดนั้น จะต้องเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอันมีที่ประสงค์เพื่อปกป้องบุคคลอื่นๆ เท่านั้น

ตามบทบัญญัติมาตรา 422 นั้น รวมถึงหลักเกณฑ์ที่ว่าความเสียหายเป็นผลเนื่องจากการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายนั้นด้วยหรือไม่
ไม่รวมถึง หลักเกณฑ์ที่ว่าความเสียหายเป็นผลเนื่องจากการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายด้วย หลักเกณฑ์ประการอื่นคือได้มีความเสียหายเป็นผลเนื่องจากการกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายนั้น ยังต้องพิสูจน์ให้ได้ความต่อไป

11.1.4   การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
ที่เรียกว่า  สิทธินั้น เข้าใจว่าอย่างไร ยกตัวอย่าง


ในบทบัญญัติมาตรา 420 มีความจำเป็นต้องบัญญัติคำว่า ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน ไว้อย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด
ไม่มีความจำเป็นต้องบัญญัติ เพราะสิ่งเหล่านี้ย่อมอยู่ในความหมายของคำว่า สิทธิ อย่างหนึ่งอย่างใด ดังที่ได้บัญญัติในมาตรา 420
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 421 การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย

ที่ว่า ทำต่อบุคคล ในมาตรา 420 นั้น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร
ที่ว่า ทำต่อบุคคล นั้น หมายความว่าทำต่อสิทธิของบุคคลนั่นเอง

ก. จองตั๋วไปดูภาพยนตร์ ณ โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันเข้าไปนั่ง ณ ที่จองไว้ ข. ก็เข้าไปนั่งที่ ก. จองไว้เสียก่อน โดย ก. ไม่อนุญาต โดยที่ ข. ก็รู้ว่าเป็นที่นั่งที่ ก. จองไว้แล้วดังนี้ ข. กระทำละเมิดต่อ ก. หรือไม่
การที่ ก. จองตั๋วเข้าดูภาพยนตร์ เป็นการได้สิทธิในที่นั่งที่จองไว้ การที่ ข. เข้าไปนั่ง โดย ก. ไม่อนุญาต และรู้ว่าเป็นที่ของ ก. จองไว้ เป็นการที่ ข. กระทำละเมิดต่อ ก.

ที่เรียกว่า ความเสียหายในอนาคต นั้น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร ยกตัวอย่างประกอบ

11.1.5   ความเสียหายนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของผู้ทำความเสียหาย
ที่เรียกว่าทฤษฎีความเท่ากันแห่งเหตุหรือทฤษฎีเงื่อนไขกับทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสมนั้น ท่านเข้ใจว่าอย่างไร ยกตัวอย่างประกอบ

เด็กชาย ก. เล่นเตะลูกฟูตบอลในสนามหญ้าหน้าบ้าน บังเอิญลูกฟูตบอลไปถูกกระจกหน้าต่างบ้านของ ข. แล้วกระดอนไปถูกหน้าต่างบ้านของ ค. ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกันเสียหายโดยประมาทเลินเล่อ โดยที่เด็กชาย ก. ก็ไม่คาดเห็นว่าจะเป็นดังนี้ เด็กชาย ก. ต้องรับผิดต่อ ข. และ ค. หรือไม่
เด็กชาย ก. ต้องรับผิดต่อ ข. และ ค. เพราะความเสียหายเป็นผลโดยตรงจากการที่เด็กชาย ก. เตะลูกฟุตบอล แม้ตนจะไม่คาดเห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น

ส. ขโมยรถยนต์เก๋งของ บ. ที่จอดอยู่หน้าที่ทำการของ บ. ไป ปรากฏว่าที่ท้ายรถซึ่งที่เก็บของมีเครื่องรับโทรทัศน์สีของ บ. เก็บไว้ด้วย ซึ่งขณะที่เอารถไป ส. ไม่คิดว่าจะมีเครื่องรับโทรทัศน์ และระหว่างที่เอารถไปนั้น ส. ไม่เคยเปิดท้ายรถดู บ. จึงไม่มีเครื่องรับโทรทัศน์ดู ต้องไปเช่าของผู้อื่นใช้ ดังนี้ ส. ต้องรับผิดต่อ บ. ที่ไปเช่าเครื่องรับโทรทัศน์ดูหรือไม่
ส. ต้องรับผิดต่อ บ. แม้จะไม่รู้ว่าเครื่องรับโทรทัศน์ของ บ. อยู่ท้ายรถ

11.2    หมิ่นประมาททางแพ่ง การพิพากษาคดี และการร่วมกันทำละเมิด
1.    หมิ่นประมาททางแพ่งคือการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
2.    การวินิจฉัยความรับผิดเพื่อละเมิดในทางแพ่ง ต้องเป็นไปตามกฎหมายส่วนแพ่งไม่จำเป็นต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่
3.    การร่วมกันทำละเมิดเป็นเรื่องที่บุคคลหลายคนร่วมกันกระทำผิด จะต้องมีการกระทำร่วมกันโดยมีเจตนาหรือความมุ่งหมายร่วมกันหรือการยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด

11.2.1   หมิ่นประมาททางแพ่ง
ก. กล่าวหาว่า ข. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกินสินบน ค. ก็นำความที่ ก. กล่าวหานั้นเที่ยวพูดแก่บุคคลทั่วไปว่า ข. กินสินบน โดยบอกว่ารู้จาก ก. อีกทีหนึ่ง เท็จจริงอย่างไรอยู่ที่ ก. ทั้งๆที่ ค. ก็รู้ว่าตามที่กล่าวหานั้น ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด ดังนี้ ค. ต้องรับผิดต่อ ข. หรือไม่
การไขข่าว คือการพูดข่าวจากคนอื่น ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงก็เป็นละเมิดได้ ข้อความที่ ค. ไขข่าวว่า ข. กินสินบน ทั้งๆ ที่รู้ว่าตามที่กล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง ย่อมเป็นสิ่งเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของ ค. จึงต้องรับผิดต่อ ข. ด้วย

11.2.2   การพิพากษาคดี
ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ก. ฟ้อง ข. ว่า ข. บุกรุกเข้ามาในที่ดินของ ก. ศาลพิพากษายกฟ้องอ้างว่า ข. ไม่มีเจตนาบุกรุก คดีถึงที่สุด ดังนี้ ก. จะฟ้อง ข. เป็นคดีแพ่งว่า ข. บุกรุกเข้าไปในที่ดินของ ก. อันเป็นการกระทำละเมิดโดยประมาทเลินเล่อและเรียกค่าเสียหาย จะได้หรือไม่
ตามมาตรา 424 ดังนั้น ก. จึงฟ้อง ข. เพื่อเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดได้
มาตรา 422 ถ้าความเสียหายเกิดแต่การฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายใดอันมีที่ประสงค์เพื่อจะปกป้องบุคคลอื่น ๆ ผู้ใดทำการ ฝ่าฝืนเช่นนั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้ผิด

11.2.3   การร่วมกันทำละเมิด
ที่ว่าร่วมกันกระทำละเมิด หมายความว่าอย่างไร
การร่วมกันทำละเมิดจะต้องมีเจตนาหรือความมุ่งหมายร่วมกัน และมีการกระทำร่วมกันเพื่อความมุ่งหมายร่วมกันนั้น

ก. เข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของ ข. ได้มาหลายสิ่ง ค. ทราบดังนั้น ก็เข้าไปลักบ้าง ขณะกำลังเก็บทรัพย์อยู่ในบ้านของ ข. ง. เพื่อนกันผ่านมาพอดีก็ช่วยกันรับทรัพย์จาก ค. ออกจากประตูบ้านได้ทรัพย์ออกมาหลายสิ่งด้วยกัน  ดังนี้ ก. ค. และ ง. ต้องร่วมกันรับผิดต่อ ข. หรือไม่
ก. ค. ต่างคนต่างกระทำละเมิดต่อ ข. มิได้กระทำละเมิดร่วมกัน จึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อ ข. ส่วน ค. ง. ร่วมกันกระทำละเมิดต่อ ข.  จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อ ข.

ก. ขับรถจักรยานยนต์ชน ข. โดยประมาทเลินเล่อ ข. นอนเจ็บอยู่กลางถนน ขณะนั้นพอดี ค. ขับรถยนต์ผ่านมาและเฉี่ยวถูก ข. ซึ่งนอนเจ็บอยู่โดยประมาทเลินเล่อ ค. สลบไป ดังนี้ ก. ค. ต้องร่วมกันรับผิดต่อ ข. หรือไม่
ก. ค. ต่างกระทำละเมิดต่อ ข. ไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิด จึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อ ข.

แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 11

1.    ก. ใช้ไม้ตี ข. โดยไม่ต้องการให้ ข. ถึงตาย แต่ ข. บาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ดังนี้ ก. กระทำต่อ ข. โดยจงใจหรือไม่ เป็นการกระทำโดยจงใจ เพราะรู้สำนึกในผลเสียหาย
2.    แดงกับดำเป็นเพื่อนกัน แดงยอมให้ดำชกต่อยที่หน้า ดำก็ชกต่อย แดงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ดังนี้แดงจะเรียกค่าเสียหายจากดำได้หรือไม่ เรียกไม่ได้ เพราะแดงยินยอมให้ทำ ไม่เป็นกระทำละเมิด
3.    ก. บุกรุกเข้าไปในตึกแถวที่ ข. เช่าจาก ค. แต่ไม่มีสิ่งของอื่นใดของ ข. เสียหาย ดังนี้ ข. จะได้รับความเสียหายหรือไม่  ถือว่า ข. ได้รับความเสียหายแล้ว แม้ไม่ใช่เจ้าของตึกแถว
4.    ก. ขุดหลุมในถนนสาธารณะซึ่งเป็นทางเข้าบ้านของ ข. ข. จึงเอารถเข้าบ้านไม่ได้ ดังนี้ ข. ได้รับความเสียหายหรือไม่  ข. ได้รับความเสียหายแล้วเพราะ ข. เอารถเข้าบ้านไม่ได้
5.    ส. ขับรถชน น. ส. หนีไป ส่วน น. บาดเจ็บและสลบอยู่ริมถนน คนร้ายฉวยโอกาสขโมยนาฬิกาข้อมือของ น. ไป ดังนี้ ส. ต้องรับผิดต่อ น. ในการที่นาฬิกาถูกคนร้ายรักไปหรือไม่    ต้องรับผิด เพราะเป็นผลมาจากการกระทำของ ส.
6.    จ. ยืมรถของ ส. ไปใช้ แล้วถูก บ. ลักไป ดังนี้ จ. ได้รับความเสียหายหรือไม่ ได้รับความเสียหายแล้ว เพราะ จ. มีสิทธิที่จะขอใช้รถ
7.    ความเสียหายต่อไปนี้ที่คำนวณเป็นตัวเงินไม่ได้เช่น ค่าที่เสียแขนขาทุพพลภาพพิการตลอดชีวิต
8.    ด. กับ ส. เจ้าพนักงานที่ดินสนทนากันต่อหน้า อ.  ด. ถาม ส. ว่า นายรับสินบนจากผู้ขายเท่าไรแล้ว ซึ่ง ส. ไม่เคยรับสินบนจากผู้ขายและ ด. ก็รู้ ดังนี้ถือว่า ด. กล่าวหมิ่นประมาท ส. หรือไม่ เป็นหมิ่นประมาท แม้เป็นคำถามของ ด.
9.    ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาเอารถยนต์ของโจทย์ไป โจทย์จะฟ้องทางแพ่งเรียกคืนรถจากจำเลยได้หรือไม่  ฟ้องได้ เพราะเป็นการฟ้องทางแพ่งให้คืนรถ
10. จ. กับ อ. เกิดทะเลาะวิวาทกัน จ. ใช้มีดแทง อ. บาดเจ็บล้มลง ต. เห็นเข้าก็ใช้ปืนยิง อ.  อ. ถึงแก่ความตาย ดังนี้ จ. กับ ต. ร่วมกันกระทำละเมิดต่อ อ. หรือไม่ ไม่เป็นการร่วมกันทำละเมิด เพราะมิได้มีเจตนาและการกระทำร่วมกัน


หน่วยที่ 10 ความระงับแห่งหนี้ (ต่อ)

     1.    เมื่อบุคคลสองคนต่างเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ซึ่งกันและกัน ในมูลหนี้สองรายอันมีวัตถุเป็นการอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระแล้ว หนี้นั้นอาจระงับลงได้ด้วยการหักกลบลบหนี้เท่าจำนวนที่ตรงกัน
2.    การแปลงหนี้ใหม่ก็เป็นการระงับหนี้อีกวิธีหนึ่ง โดยคู่กรณีตกลงกันเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญในหนี้ อันมีผลทำให้หนี้เดิมระงับไปแล้วเกิดหนี้ใหม่ขึ้นมาแทน
3.    เมื่อมีเหตุที่ทำให้สิทธิเรียกร้องและความรับผิดในหนี้รายใดตกไปอยู่กับบุคคลคนเดียวกัน ย่อมเป็นผลให้หนี้นั้นระงับสิ้นไปเพราะหนี้เกลื่อนกลืนกัน

1.1    หักกลบลบหนี้
1.    การหักกลบลบหนี้กระทำได้เมื่อบุคคลสองคนต่างเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ซึ่งกันและกัน ในมูลหนี้สองรายซึ่งถึงกำหนดชำระ โดยฝ่ายที่ต้องการให้มีการหักกลบลบหนี้แสดงเจตนาเพียงฝ่ายเดียวไปยังคู่กรณี โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายนั้น
2.    การหักกลบลบหนี้อาจกระทำไม่ได้แม้จะเข้าหลักเกณฑ์ทั่วไปของการหักกลบลบหนี้ เนื่องจากมีกรณีที่กฎหมายบัญญัติห้ามไว้หลายกรณีด้วยกัน
3.    การหักกลบลบหนี้มีผลทำให้หนี้ระงับไปเท่าส่วนที่ตรงกันในมูลหนี้

1.1.1      หลักเกณฑ์และวิธีการในการหักกลบลบหนี้
การหักกลบลบหนี้มีลักษณะทั่วไปและวิธีการที่จะต้องพิจารณาอย่างไรบ้าง อธิบาย และเหตุใดจึงมีการหักกลบลบหนี้กันได้แม้จะเป็นการขืนใจคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง
สรุปหลักเกณฑ์ที่จะต้องพิจารณาคือ (มาตรา 341 342 343)
1)    เป็นกรณีที่บุคคล 2 คน มีความผูกพันเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ซึ่งกันและกันในหนี้สองรายและหนี้ดังกล่าวนั้นฟ้องร้องบังคับกันได้ตามกฎหมาย
2)    หนี้ทั้งสองรายนั้นมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน
3)    หนี้ทั้งสองรายนั้นต่างถึงกำหนดชำระในเวลาที่มีการขอหักกลบลบหนี้
4)    สภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้กระทำได้
วิธีหักกลบลบหนี้คือ
(1)   ผู้ขอหักกลบลบหนี้แสดงเจตนาฝ่ายเดียวต่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เพราะเป็นวิธีการที่จะทำให้หนี้ระงับสิ้นไป คู่กรณีหมดความผูกพัน กฎหมายจึงบัญญัติให้กระทำได้โดยไม่จำเป็นต้องให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งยินยอม ทั้งนี้การแสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ก็ต้องเป็นไปตามหลักเรื่องการแสดงเจตนาในลักษณะนิติกรรมด้วย
(2)   การแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้จะมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้
(3)   การหักกลบลบหนี้กระทำได้ แม้สถานที่ซึ่งจะต้องชำระหนี้ทั้งสองรายจะต่างกัน แต่ฝ่ายที่ขอหักกลบลบหนี้ต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งหากเกิดความเสียหายอย่างใดๆ ขึ้น

มาตรา 341 ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดย มูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนด จะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสอง ฝ่ายนั้น เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้
บทบัญญัติดั่งกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ หากเป็น การขัดกับเจตนาอันคู่กรณีได้แสดงไว้ แต่เจตนาเช่นนี้ท่านห้ามมิให้ ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต
มาตรา 342 หักกลบลบหนี้นั้น ทำได้ด้วยคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดง เจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง การแสดงเจตนาเช่นนี้ท่านว่าจะมีเงื่อนไขหรือ เงื่อนเวลาเริ่มต้นหรือเวลาสิ้นสุดอีกด้วยหาได้ไม่
การแสดงเจตนาดั่งกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านว่ามีผลย้อนหลัง ขึ้นไปจนถึงเวลาซึ่งหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นจะอาจหักกลบลบกันได้เป็น ครั้งแรก
มาตรา 343 การหักกลบลบหนี้นั้น ถึงแม้ว่าสถานที่ซึ่งจะต้อง ชำระหนี้ทั้งสองจะต่างกัน ก็หักกันได้ แต่ฝ่ายผู้ขอหักหนี้จะต้องใช้ ค่าเสียหายให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด อันเกิดแต่การนั้น

1.1.2      กรณีที่หักกลบลบหนี้กันไม่ได้
ข้อห้ามมิให้มีการหักกลบลบหนี้มีกี่กรณี อย่างไรบ้าง อธิบายพอเป็นสังเขป
จากมาตรา 341 และมาตรา 344-347 สรุปได้คือ จะหักลบกลบหนี้กันไม่ได้ถ้า
1)    สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้กระทำได้
2)    คู่กรณีแสดงเจตนาไม่ให้มีการหักกลบลบหนี้
3)    สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นสิทธิเรียกร้องที่ยังมีข้อต่อสู้
4)    หนี้นั้นเกิดจากการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
5)    หากเป็นสิทธิเรียกร้องที่ศาลสั่งยึดไม่ได้ก็ขอหักกลบลบหนี้ไม่ได้
6)    เป็นกรณีซึ่งศาลสั่งห้ามลูกหนี้ใช้เงินแก่ลูกหนี้แล้ว

มาตรา 341 ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดย มูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนด จะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสอง ฝ่ายนั้น เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้
บทบัญญัติดั่งกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ หากเป็น การขัดกับเจตนาอันคู่กรณีได้แสดงไว้ แต่เจตนาเช่นนี้ท่านห้ามมิให้ ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต
มาตรา 344 สิทธิเรียกร้องใดยังมีข้อต่อสู้อยู่ สิทธิเรียกร้องนั้น ท่านว่าหาอาจจะเอามาหักกลบลบหนี้ได้ไม่ อนึ่ง อายุความย่อมไม่ ตัดรอนการหักกลบลบหนี้ แม้สิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว แต่ว่าในเวลาที่อาจจะหักกลบลบกับสิทธิเรียกร้องฝ่ายอื่นได้นั้น สิทธิยังไม่ขาด
มาตรา 345 หนี้รายใดเกิดแต่การอันมิชอบด้วยกฎหมายเป็นมูล ท่านห้ามมิให้ลูกหนี้ถือเอาประโยชน์แห่งหนี้รายนั้น เพื่อหักกลบ ลบหนี้กับเจ้าหนี้
มาตรา 346 สิทธิเรียกร้องรายใด ตามกฎหมาย ศาลจะสั่งยึด มิได้ สิทธิเรียกร้องรายนั้นหาอาจจะเอาไปหักกลบลบหนี้ได้ไม่
มาตรา 347 ลูกหนี้คนที่สามหากได้รับคำสั่งศาลห้ามมิให้ใช้เงิน แล้ว จะยกเอาหนี้ซึ่งตนได้มาภายหลังแต่นั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ ผู้ที่ขอให้ยึดทรัพย์นั้น ท่านว่าหาอาจจะยกได้ไม่

1.1.3      ผลของการหักกลบลบหนี้
การหักกลบลบหนี้ทำให้เกิดผลทางกฎหมายอย่างไรบ้าง อธิบาย
การหักกลบลบหนี้มี 4 ประการ
1)   ผลโดยตรงตามมาตรา 341 คือ เมื่อมีการหักกลบลบหนี้แล้ว หนี้ของทั้งสองฝ่ายก็ได้ระงับสิ้นไปเท่าส่วนจำนวนที่ตรงกัน เช่น ถ้าต่างเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ด้วยเงิน 100 บาทเท่ากัน เมื่อมีการหักกลบลบหนี้ ก็มีผลทำให้หนี้ระงับไปโดยสิ้นเชิงทั้งคู่  แต่ถ้าทั้งสองรายมีจำนวนไม่เท่ากันเมื่อมีการหักกลบลบหนี้ ผลก็จะเป็นไปตามมาตรา 341 ที่ว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงที่จำนวนที่ตรงกัน
2)   ผลของการหักกลบลบหนี้ย้อนไปถึงเวลาซึ่งหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้น  อาจจะหักกลบลบกันได้เป็นครั้งแรก มิใช่มีผลในวันแสดงเจตนา ตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 342
3)   การหักกลบลบหนี้ในกรณีที่สถานที่ซึ่งจะต้องชำระหนี้ทั้งสองนั้นต่างกัน หากเป็นผลทำให้เกิดความเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายที่ขอหักกลบลบหนี้จะต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายหนึ่งนั้น ตามมาตรา 343
4)   ในกรณีที่บุคคลซึ่งต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกันอยู่มีหนี้ที่จะหักกลบลบหนี้กันนั้นอยู่หลายราย ปัญหาว่าจะเอาหนี้รายใดมาหักกลบลบกันก่อน นั้นมีบัญญัติไว้ในมาตรา 348

ก. เป็นลูกหนี้เงินกู้ของ ข. อยู่ 500 บาท กำหนดชำระในวันที่ 2 มิถุนายน 2520  ต่อมาวันที่ 10 กรกฎาคม ปีเดียวกัน ข. เป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าจาก ก. 300 บาท และยังไม่ได้ชำระเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน 2521 ข. เรียกให้ ก. ชำระหนี้เงินกู้ 500 บาท แก่ตน ก. จะมีทางขอหักกลบลบหนี้กับ ข. ในหนี้ค่าซื้อสินค้าซึ่ง ข. มีต่อตนอยู่ได้เพียงใดหรือไม่
ตามอุทาหรณ์ ก. ขอหักกลบลบหนี้กับ ข. ได้ในจำนวนหนี้ที่ตรงกัน คือ 300 บาท และผลของการหักกลบลบหนี้ย้อนหลังไปถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2520

1.2       แปลงหนี้ใหม่
1.    การแปลงหนี้ใหม่มีสาระสำคัญซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของตัวมันเอง ซึ่งแตกต่างจากหลักเกณฑ์ในเรื่องความระงับหนี้อื่นๆ และหลักเกณฑ์ในลักษณะอื่นที่คล้ายคลึงกัน
2.    การแปลงหนี้ใหม่กระทำได้โดยคู่กรณีตกลงทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญในหนี้นั้น
3.    ผลของการแปลงหนี้ใหม่ทำให้หนี้เดิมรวมทั้งประกันของหนี้เดิมระงับสิ้นไปโดยมีหนี้ใหม่เกิดขึ้นมาแทนผูกพันคู่กรณีต่อไป

1.2.1   บทนำ
การแปลงหนี้ใหม่มีลักษณะแตกต่างจากเรื่องต่อไปนี้อย่างไร
ก.     การชำระหนี้อย่างอื่นตามมาตรา 321
ข.     การโอนสิทธิเรียกร้อง
ค.     การรับช่วงสิทธิ
หลักเกณฑ์ตามมาตรา 321  306 และมาตรา 226 และ 229
มาตรา 321 ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป
ถ้าเพื่อที่จะทำให้พอแก่ใจเจ้าหนี้นั้น ลูกหนี้รับภาระเป็นหนี้อย่างใด อย่างหนึ่งขึ้นใหม่ต่อเจ้าหนี้ไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ท่านมิให้ สันนิษฐานว่าลูกหนี้ได้ก่อหนี้นั้นขึ้นแทนการชำระหนี้
ถ้าชำระหนี้ด้วยออก-ด้วยโอน-หรือด้วยสลักหลังตั๋วเงิน หรือ ประทวนสินค้า ท่านว่าหนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินหรือประทวน สินค้านั้นได้ใช้เงินแล้ว
มาตรา 306 การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดย เฉพาะเจาะจงนั้น ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการ โอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้ หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วย ในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ท่านว่าต้องทำ เป็นหนังสือ
ถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงิน หรือด้วยประการอื่น เสียแต่ก่อนได้รับบอกกล่าว หรือก่อนได้ตกลงให้โอนไซร้ ลูกหนี้นั้น ก็เป็นอันหลุดพ้นจากหนี้
มาตรา 226 บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิ ทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้น ได้ในนามของตนเอง
ช่วงทรัพย์ ได้แก่เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีก อันหนึ่งในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน
มาตรา 229 การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมายและย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) บุคคลซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่เอง และมาใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้อีก คนหนึ่งผู้มีสิทธิจะได้รับใช้หนี้ก่อนตน เพราะเขามีบุริมสิทธิ หรือมี สิทธิจำนำ จำนอง
(2) บุคคลผู้ได้ไปซึ่งอสังหาริมทรัพย์ใด และเอาเงินราคาค่าชื้อ ใช้ให้แก่ผู้รับจำนองทรัพย์นั้นเสร็จไป
(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้อง ใช้หนี้ มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น และเข้าใช้หนี้นั้น

1.2.2      หลักเกณฑ์ของการแปลงหนี้ใหม่
หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการแปลงหนี้ใหม่ มีสาระสำคัญอย่างไรบ้าง อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
หลักเกณฑ์สำคัญตามมาตรา 349-351

มาตรา 349 เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่
ถ้าทำหนี้มีเงื่อนไขให้กลายเป็นหนี้ปราศจากเงื่อนไขก็ดี เพิ่มเติมเงื่อนไขเข้าในหนี้อันปราศจากเงื่อนไขก็ดี เปลี่ยนเงื่อนไขก็ดี ท่านถือว่าเป็นอันเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้นั้น
ถ้าแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ ท่านให้บังคับด้วยบทบัญญัติ ทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยโอนสิทธิเรียกร้อง
มาตรา 350 แปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้น จะทำเป็น สัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ก็ได้ แต่จะทำโดยขืนใจลูกหนี้ เดิมหาได้ไม่
มาตรา 351 ถ้าหนี้อันจะพึงเกิดขึ้นเพราะแปลงหนี้ใหม่นั้นมิได้เกิด มีขึ้นก็ดี ได้ยกเลิกเสียเพราะมูลแห่งหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันมิรู้ถึงคู่กรณีก็ดี ท่านว่าหนี้เดิมนั้น ก็ยังหาระงับสิ้นไปไม่

ก. เป็นหนี้ ข. อยู่ 3,000 บาท แล้วไม่มีเงินชำระ จึงตกลงกับ ข. ด้วยวาจาขายม้าให้ ข. 1 ตัว โดยเอาหนี้เงินกู้ 3,000 บาท เป็นราคาม้า กรณีนี้ เป็นการแปลงหนี้ใหม่ที่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่
ตามอุทาหรณ์ หนี้ใหม่คือการซื้อขายถ้าไม่เกิด เพราะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 456 หนี้เงินกู้ไม่ระงับ ข. ยังมีสิทธิฟ้องร้องให้ชำระหนี้เงินกู้อยู่
มาตรา 456 การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไซร้ ท่านว่าเป็นโมฆะวิธีนี้ให้ ใช้ถึงซื้อขายเรือกำปั่นหรือเรือมีระวางตั้งแต่หกตันขึ้นไป เรือกลไฟ หรือเรือยนต์มีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะ ด้วย

1.2.3      ผลของการแปลงหนี้ใหม่
การแปลงหนี้ใหม่ทำให้เกิดผลในทางกฎหมายในหนี้นั้น แตกต่างจากความระงับหนี้ในประการอื่นที่ได้ศึกษามาแล้ว เช่นการชำระหนี้ การปลดหนี้ การหักกลบลบหนี้อย่างไร อธิบายให้เหตุผลประกอบ
หลักในมาตรา 349 ซึ่งมีผลเกี่ยวเนื่องไปถึงมาตรา 352
การแปลงหนี้ใหม่ทำให้เกิดผลโดยตรงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 349 วรรค 1 ซึ่งบัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า หนี้เก่าเป็นอันระงับสิ้นไปโดยมีหนี้ใหม่เข้าผูกพันแทนที่

มาตรา 349 เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่
ถ้าทำหนี้มีเงื่อนไขให้กลายเป็นหนี้ปราศจากเงื่อนไขก็ดี เพิ่มเติมเงื่อนไขเข้าในหนี้อันปราศจากเงื่อนไขก็ดี เปลี่ยนเงื่อนไขก็ดี ท่านถือว่าเป็นอันเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้นั้น
ถ้าแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ ท่านให้บังคับด้วยบทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยโอนสิทธิเรียกร้อง
มาตรา 350 แปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้น จะทำเป็นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ก็ได้ แต่จะทำโดยขืนใจลูกหนี้ เดิมหาได้ไม่
มาตรา 351 ถ้าหนี้อันจะพึงเกิดขึ้นเพราะแปลงหนี้ใหม่นั้นมิได้เกิด มีขึ้นก็ดี ได้ยกเลิกเสียเพราะมูลแห่งหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันมิรู้ถึงคู่กรณีก็ดี ท่านว่าหนี้เดิมนั้น ก็ยังหาระงับสิ้นไปไม่
มาตรา 352 คู่กรณีในการแปลงหนี้ใหม่อาจโอนสิทธิจำนำหรือ จำนองที่ได้ให้ไว้เป็นประกันหนี้เดิมนั้นไปเป็นประกันหนี้รายใหม่ได้ เพียงเท่าที่เป็นประกันวัตถุแห่งหนี้เดิม แต่หลักประกันเช่นว่านี้ ถ้าบุคคลภายนอกเป็นผู้ให้ไว้ไซร้ ท่านว่าจำต้องได้รับความยินยอม ของบุคคลภายนอกนั้นด้วยจึงโอนได้

1.3    หนี้เกลื่อนกลืนกัน
1.    หนี้โดยทั่วๆ ไปอาจเกลื่อนกลืนกันได้ถ้าสิทธิและความรับผิดในหนี้รายใดรายหนึ่ง มาตกอยู่ในบุคคลคนเดียวกัน
2.    การที่หนี้เกลื่อนกลืนกันไปในบุคคลคนเดียวกัน มีผลทำให้หนี้นั้นระงับสิ้นไปตลอดถึงหนี้อุปกรณ์ด้วย
3.    มีกรณีที่บุคคลจะอ้างว่าหนี้ระงับสิ้นไปเพราะเหตุที่มีการเกลื่อนกลืนกันไม่ได้ หากหนี้นั้นตกไปอยู่บังคับแห่งสิทธิของบุคคลภายนอก หรือเมื่อมีการสลักหลังตั๋วเงินกลับคืนตามข้อบัญญัติในเรื่องตั๋วเงิน

1.3.1      หลักเกณฑ์ในเรื่องหนี้เกลื่อนกลืนกัน
1.3.2      ผลของการที่หนี้เกลื่อนกลืนกัน
การที่หนี้เกลื่อนกลืนกันได้มีหลักเกณฑ์อย่างไร และทำให้เกิดผลอย่างไร อธิบาย
หลักเกณฑ์ตาม มาตรา 353

มาตรา 353 ถ้าสิทธิและความรับผิดในหนี้รายใดตกอยู่แก่บุคคล คนเดียวกัน ท่านว่าหนี้รายนั้นเป็นอันระงับสิ้นไป เว้นแต่ เมื่อหนี้นั้นตกไปอยู่ในบังคับแห่งสิทธิของบุคคลภายนอก หรือเมื่อสลักหลังตั๋ว เงินกลับคืนตามความใน มาตรา 917 วรรค 3
มาตรา 917 อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่ บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ
เมื่อผู้สั่งจ่ายเขียนลงในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินว่า "เปลี่ยนมือไม่ได้" ดั่งนี้ก็ดี หรือเขียนคำอื่นอันได้ความเป็นทำนองเช่นเดียวกันนั้นก็ดี ท่านว่าตั๋วเงินนั้นย่อมจะโอนให้กันได้แต่โดยรูปการและด้วยผลอย่างการ โอนสามัญ
อนึ่ง ตั๋วเงินจะสลักหลังให้แก่ผู้จ่ายก็ได้ ไม่ว่าผู้จ่ายจะได้รับรองตั๋ว นั้นหรือไม่ หรือจะสลักหลังให้แก่ผู้สั่งจ่าย หรือให้แก่คู่สัญญาฝ่ายใด แห่งตั๋วเงินนั้นก็ได้ ส่วนบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ก็ย่อมจะสลักหลังตั๋วเงิน นั้นต่อไปอีกได้

ก. เป็นหนี้ ข. โดยมี ค. เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมา ข. ตายโดย ค. ได้รับมรดกของ ข. แต่เพียงผู้เดียว ถ้า ค. จะใช้สิทธิในฐานะเป็นทายาทของ ข. ฟ้อง ก. ให้ชำระหนี้รายนี้ จะกระทำได้หรือไม่
กรณีตามอุทาหรณ์ ค. ฟ้อง ก. ให้ชำระหนี้ได้ กรณีนี้เป็นเรื่องหนี้เกลื่อนกลืนกันเฉพาะหนี้อุปกรณ์ซึ่งกระทบถึงหนี้ประธาน หนี้ประธานยังไม่ระงับ

1.3.3      กรณีที่หนี้เกลื่อนกลืนกันไม่ได้
มีกรณีใดบ้างที่หนี้ไม่ระงับเพราะเหตุที่จะอ้างที่หนี้เกลื่อนกลืนกันไม่ได้ อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
อ้างตามมาตรา 353 ตอนท้าย ซึ่งมีอยู่ 2 กรณี คือ
1)    เมื่อหนี้นั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิของบุคคลภายนอก
2)    เมื่อสลักหลังตั๋วเงินกลับคืนตามความใน  มาตรา 917 วรรค 3

แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 10

1.    การหักกลบลบหนี้จะกระทำมิได้ ถ้า (ก) คู่กรณีตกลงกันไว้ไม่ให้มีการหักกลบลบหนี้ (ข) หนี้ที่จะขอให้มีการหักกลบลบกับหนี้อีกรายหนึ่งนั้นเป็นหนี้ละเมิด (ค) สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้หักกลบลบหนี้ได้
2.    การหักกลบลบหนี้มีผลตั้งแต่ เวลาที่หนี้ทั้งสองฝ่ายจะหักกลบลบกันได้เป็นครั้งแรก
3.    การแปลงหนี้ใหม่ เป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีที่เกี่ยวข้องเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ เพื่อเลิกหรือระงับหนี้เดิมแล้วก่อหนี้ใหม่ขึ้นมาแทน
4.    การเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ในการแปลงหนี้ใหม่เช่น เปลี่ยนหนี้เงินกู้เป็นขายฝากที่ดิน
5.    การเปลี่ยนแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ กระทำได้โดย เจ้าหนี้ทำสัญญากับลูกหนี้คนใหม่ได้เลยโดยลูกหนี้คนเดิมไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในการทำสัญญาด้วย แต่จะทำโดยขืนใจลูกหนี้เดิมไม่ได้
6.    การที่หนี้เกลื่อนกลืนกันได้แก่กรณีดังต่อไปนี้ ดำเป็นหนี้แดง แดงตาย ดำได้รับมรดกจากแดงแต่เพียงผู้เดียว ดำจึงกลับมาเป็นเจ้าหนี้ตนเองในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับชำระหนี้ของแดง
7.    การที่หนี้เกลื่อนกลืนกันมีผลทำให้ หนี้นั้นระงับสิ้นไปโดนสิ้นเชิงทั้งหนี้ประธานและหนี้อุปกรณ์
8.    ในกรณีต่อไปนี้บุคคลจะยกข้ออ้างว่าหนี้เกลื่อนกลืนกันไม่ได้ เมื่อหนี้นั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิของบุคคลภายนอก